รีวิวการคุมกำเนิดด้วยวิธีการฝังยาคุม มีข้อดีอย่างไร ราคาเท่าไหร่ ?

 

Free Woman in Blue Scrub Suit Helping Woman Sitting on Bed Stock Photo

การคุมกำเนิดในปัจจุบัน หลากหลายวิธีให้เลือกตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล หนึ่งในวิธีที่กำลังเป็นที่นิยมคือ ‘การฝังยาคุม’ ตัวช่วยป้องกันการท้องไม่พร้อมที่มีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งยังสะดวกสบาย ฝังเพียงครั้งเดียวสามารถคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี

สำหรับใครที่กำลังสนใจการคุมกำเนิดด้วยวิธีฝังยาคุม เรามีข้อมูลดีๆ มาฝากกัน !

การฝงยาคุมกำเนิดคืออะไร ?

ฝังยาคุมกำเนิด เป็นการนำหลอดหรือแท่งพลาสติกเล็กๆ ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ที่ด้านในบรรจุโปรเจสติน (Progestin) นำมาฝังลงใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนในด้านที่ไม่ถนัด โดยใช้เวลาฝังเพียง 10-15 นาที ซึ่งฮอร์โมนโปรเจสตินจะค่อยๆ ซึมผ่านออกมาจากแท่งยาเข้าสู่ร่างกาย และไปยับยั้งการเจริญเติบโตของฟองไข่ ทำให้ไม่มีการตกไข่ตามมา สามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้นานถึง 3-5 ปี

การฝังยาคุมกำเนิดในปัจจุบัน มีตัวยาที่นิยมใช้อยู่ 2 ชนิด คือ

  1. ตัวยา Implanon® ชนิดฝัง 1 แท่ง

การฝังยาคุมกำเนิดชนิดนี้ เป็นการฝังฮอร์โมน Etonogestrel ในปริมาณ 68 มิลลิกรัม สามารถคุมกำเนิดได้ 3 ปี โดยแท่งยาฝังจะค่อยๆ ปล่อยฮอร์โมนออกมาวันละ 60-70 ไมโครกรัมในช่วงเดือนแรก หลังจากนั้น 2 ปี ฮอร์โมนจะลดลงเหลือ 30 ไมโครกรัม

  1. ตัวยา Jadelle® ชนิดฝัง 2 แท่ง

การฝังยาคุมกำเนิดชนิดนี้ เป็นการฝังฮอร์โมน Levonorgestrel ในปริมาณ 75 มิลลิกรัม สามารถคุมกำเนิดได้ 5 ปี โดยแท่งยาฝังจะค่อยๆ ปล่อยฮอร์โมนออกมาวันละ 100 ไมโครกรัมในช่วงเดือนแรก หลังจากนั้นจะลดลงเหลือ 40 ไมโครกรัมต่อวัน และค่อยๆ ลดเหลือ 30 ไมโครกรัมต่อวันภายใน 1-2 ปีตามลำดับ

5 ข้อดีของการฝังยาคุมกำเนิด

 

  1. มีประสิทธิภาพสูงมากกว่าการคุมกำเนิดประเภทอื่น

ในบรรดาการคุมกำเนิด การฝังยาคุมนับว่ามีประสิทธิภาพสูงถึง 99% อีกทั้งยังมีผลข้างเคียงน้อย ไม่มีอาการเวียนหัว, คลื่นไส้, อาเจียน หรือเกิดฝ้า แต่ในขณะที่การฉีดยาคุมหรือการกินยาคุม ที่มักมีอาการข้างต้นในผู้ที่เกิดอาการแพ้

  1. ฝังยาคุมครั้งเดียว อยู่ได้นาน 3-5 ปี

การฝังยาคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งท้องได้นานถึง 3-5 ปี แล้วแต่ชนิดของตัวยา ช่วยให้เกิดความสะดวกสบาย สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องฝังบ่อยๆ อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ปลอดภัย ใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องพักฟื้น หรือเป็นกังวลเรื่องรับประทานยาไม่ตรงเวลา

  1. ฝังง่าย ถอดง่าย ตามความสะดวกของบุคคล

การฝังยาคุมกำเนิด ง่ายทั้งตอนฝังและตอนถอด สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนยาคุม หรือถอดเข็มยาคุมออกเพื่อเตรียมพร้อมในการตั้งครรภ์ แพทย์จะฉีดยาชาแล้วทำการถอดเข็มยาคุมให้อย่างง่ายดาย และยังสามารถมีบุตรได้เร็วกว่าการป้องกันด้วยการฉีดยาคุมถึง 90 %

  1. ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน

สำหรับใครที่มักมีอาการปวดประจำเดือน หรือมีประจำเดือนมามาก การฝังยาคุมกำเนิดจะช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ลดอาการปวดประจำเดือน และช่วยให้ประจำเดือนมาน้อยลง

 

  1. ไม่มีผลต่อคุณภาพและปริมาณน้ำนมแม่

คุณแม่ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรก็เลือกวิธีฝังยาคุมได้ เพราะตัวยาที่ใช้ไม่มีผลต่อปริมาณการหลั่งน้ำนม และไม่ส่งผลต่อสารอาหารในน้ำนม จึงปลอดภัยทั้งต่อตัวคุณแม่และคุณ

 

การฝังยาคุมกำเนิด เหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง ในระยะเวลา 3 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่ต้องการความสะดวก ไม่ต้องรับประทานยาคุมกำเนิดบ่อยๆ
  • ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน
  • ผู้ที่มีบุตรมาแล้ว และยังไม่ประสงค์มีบุตรในตอนนี้ แต่ประสงค์จะมีบุตรอีกในอนาคต

นอจากนี้การฝังยาคุมยังเหมาะกับผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคตับ มะเร็งเต้านม และผู้ที่มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ก็สามารถฝังยาคุมได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจทำ

ค่าใช้จ่ายสำหรับการฝังยาคุมกำเนิด

  • โรงพยาบาลรัฐ อยู่ที่ประมาณ 2,500-4,000 บาท
  • โรงพยาบาลเอกชน หรือ คลินิก อยู่ที่ประมาณ 5,000-7,000 บาท

ข้อควรรู้ก่อนฝังยาคุมกำเนิด

ควรฝังยาคุมภายใน 5 วันแรกหลังมีประจำเดือน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้กำลังตั้งครรภ์ หรือภายหลังการยุติการตั้งครรภ์บุตรไม่เกิน 1 สัปดาห์ หรือหลังการคลอดบุตรไม่เกิน 4-6 สัปดาห์

การฝังยาคุม ตัวช่วยป้องกันการท้องไม่พร้อมอย่างถูกวิธี ตามกฎหมายผู้หญิงไทยสามารถรับสิทธิประโยชน์นี้ได้ฟรี (ต้องเป็นไปตามทีหลักเกณฑ์กำหนด) แต่ถ้าหากใครต้องการความสะดวกรวดเร็ว ก็สามารถรับสิทธิประโยชน์นี้ได้จาก ประกันสุขภาพ ตัวช่วยดูแลคุณจากแรบบิท แคร์ แหล่งรวมประกันสุขภาพจากบริษัทชั้นนำทั่วประเทศไทย